+ เนื้อความต่าง ๆ นี้มิได้ต้องการที่จะทำให้น้อง ๆ รู้สึกว่าการที่จะเป็นนักเรียนเตรียมทหารได้นั้นยากเย็นนัก หากแต่ต้องการให้น้อง ๆ มีความเพียรพยายามที่จะฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการ เพราะหนทางแห่งความสำเร็จนั้นมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ขอให้น้อง ๆ ได้เดินตามฝันของตัวเองนะครับ --- 4cadet.org ---

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เกียรติศักดิ์ นรต. นั้นยิ่งใหญ่

เกียรติศักดิ์นักเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจนั้นยิ่งใหญ่

ผมจดจำได้ว่าเจอพี่แคนครั้งแรก ตอนแยกชมรมอยู่ชั้นปีที่ 1 ส่วนพี่แคนเป็น นรต.ชั้นปีที่ 4 พี่แคนยืนอยู่บนตึกร้อย 2 บริเวณหลังห้องพักผู้ช่วยร้อย 2 ผมซึ่งกำลังจะแยกแถวออกไปเอาน้ำ ดื่ม โดนพี่แคนเรียกออกไปกับเพื่อนอี กกลุ่มหนึ่ง พี่แคนได้เข้ามาทำความรู้จักและ อบรม ในตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าใครคือ พี่แคน ใครคือคนจวกผม มีคนสั่งจวก ผมก็ทำๆ ไปตามคำสั่ง สั่งเท่าไหร่ ผมก็ทำจนครบ แต่สิ่งที่มันประทับตรึงใจผมไม่ เลือนเลย ก็คือคำสั่งสอนที่ผู้จวกผมผู้นั ้น สั่งสอนผมในเรื่องอุดมการณ์ ความรักชาติ ความเสียสละ และความเป็นนักเรียนนายร้อยตำรว จที่เราต้องอุทิศตนเพื่อสังคม มันทำให้ผมจดจำฝังใจ ตั้งแต่เจอกันวันนั้นเลยว่า พี่คนที่อบรมผม และสั่งสอนผมนั้น คือ "นรต.ธรนิศ ศรีสุข" ชมรมยูโด...

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมได้ข่าวคราวของพี่แคนเป็นระยะ ๆ แม้จะไม่เคยได้รู้จักเป็นการส่ว นตัว ผมทราบว่าพี่แคนเป็นเรียนเก่ง ได้คะแนนสอบตอนจบลำดับต้นๆ แต่พี่แคนก็มีอุดมการณ์และความเ สียสละเพื่อชาติเพียงพอ ที่จะหันหลังให้แสงสี และเดินหน้าเข้ารับใช้ชาติในป่า เขา กับการเป็นตำรวจตระเวนชายแดน พี่แคนเป็นหนึ่งในผู้มีคะแนนสอบ ดีเยี่ยมแต่ก็เลือกอยู่ ตชด. เช่นเกียวกับพี่ชมรมผมคนหนึ่งที ่มีอุดมการณ์ไม่แพ้กัน และเป็นเพื่อนรักยิ่งของพี่แคน ก็คือ "พี่ต่อ" อนุรักษ์ ลาสิทธิ ผมในฐานะนักเรียนนายร้อยตำรวจชั ้นต่ำ จึงได้แต่รับทราบข่าว และแอบภาคภูมิใจกับผลิตผลของนัก เรียนนายร้อยตำรวจรุ่นพี่ๆ ที่ได้จบการศึกษาออกมารับใช้ชาต ิ

ระหว่างฝึกหลักสูตรโดดร่ม ที่ค่ายนเรศวร จังหวัดเพชรบุรี ณ ที่แห่งนี้ ผมได้มีโอกาสพบกับพี่แคน และพี่ๆ ท่านอื่นอีกครั้ง และแน่นอน พี่แคนไม่พลาด ที่จะมาทำความรู้จัก พร้อมกับสั่งสอน อบรม อุดมการณ์และความเสียสละที่ต้อง มีให้แก่ชาติ อีกครั้ง ซึ่งจริงๆ แล้ว พี่เคยก็ไม่เคยละทิ้งอุดมการณ์ส ักครั้ง ไม่ว่าจะอยู่อย่างลำบากอย่างไร พี่แคนก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งผมสำเร็จการศึกษา ทำงาน จนกระทั่งติดยศร้อยตำรวจโท ผมก็ไม่เคยได้พบกับพี่แคนอีกเลย แต่กระทั่ง ไม่กี่สัปดาห์ ก่อนมีข่าวร้าย ผมพบกับพี่แคนโดนบังเอิญ ที่ สน.ทองหล่อ วันนั้นผมมาทำงานตามปกติ แต่เห็นพี่แคนมาด้อมๆ มองๆ ที่บริเวณ สน. ทันที่ที่ผมเห็นหน้าพี่แคน ผมจดจำได้ทันที ว่านี่คือ สุดยอด นรต.54 ที่มีอุดมการณ์ สูงส่ง ผมไม่ลังเลเลย ที่จะเข้าไปทักทาย และสวัสดีพี่แคน พร้อมทั้งเสนอตัวรับใช้ด้วยความ เต็มใจ วันนั้นพี่แคนมาทำธุระที่กรุงเท พฯ ถามหาพี่เทน (อุเทน) แต่ติดต่อไม่ได้ ผมจึงอาสาดูแล เรื่องที่จอดรถ และการไปทำธุระ ก่อนที่ผมจะให้เบอร์พี่แคนเผื่อ ติดต่อเวลามีอะไรให้รับใช้ พี่แคนยังคุยถึงเพื่อนผม (เจษฎา ชุมพล) ว่ามีอุดมการณ์ดี และทำงานอยู่กับพี่แคน วันนั้นผมแอบดีใจลึกๆ ที่ได้มีโอกาสรับใช้พี่ชายที่มี อุดมการณ์ ก่อนที่ผมจะกลับแฟลต ไปนอนด้วยความเหนื่อยล้า กลางดึกคืนนั้น ผมสะดุ้งตื่น มองดูโทรศัพท์ มีหนึ่งสายไม่ได้รับ ผมลงมาดูบริเวณที่จอดรถ ปรากฎว่าพี่แคนได้ขับรถออกไปแล้ ว (รถสีขาว ทะเบียนปัตตานี) ผมเดาได้ว่าต้องเป็นเบอร์พี่แคน แน่ แต่เนื่องจาก กลางดึกสงัดมาก ผมจึงไม่ได้โทรกลับ และไม่คิดว่ามันจะเป็นการพูดคุย ครั้งสุดท้ายกับพี่คนนี้ บางทีผมน่าจะโทรกลับ โทรศัพท์ที่ผมไม่ได้รับสายนั้น อาจจะเป็นการขอบคุณและสั่งลาของ พี่ก็ได้

บ่ายวันที่ 29 กันยายน 2550 ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนร่วมร ุ่น แจ้งข่าวพี่ นรต.54 ถูกคนร้ายซุ่มโจมตี จนเสียชีวิต เมื่อเพื่อนเอ่ยขื่อออกมาว่า ชื่อ ร.ต.อ.ธรนิศ ศรีสุข พร้อมกับถามว่ารู้จักรึป่าว.. ผมถึงกับอึ้งตอบไม่ถูก ทั้งๆ ที่ผมรู้จักพี่เค้าดี จดจำชื่อได้อย่างแม่นยำตั้งแต่เ จอหน้ากันครั้งแรก ไม่น่าเชื่อว่า ผมไม่สามารถตอบคำถามเพื่อนผมได้ ผมบอกเพื่อนผมว่า ขอเช็คข่าวก่อน เดี๋ยวโทรกลับ จึงได้วางหูไป

เย็นวันนั้น ผมเห็นข่าวพี่ ทั้งในโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ อีกแล้วหรือเนี่ย ที่ประเทศไทยต้องสูญเสียคนดีๆ ยิ่งผมมารับทราบประวัติของพี่ ทราบถึงข้อมูลขอบครอบครัว ชีวิตของพี่ พื้นฐานของพี่ไม่เลวเลย พี่มีพื้นฐานชีวิตที่สวยงาม มีครอบครัวที่ดี พี่ควรจะได้ชื่นชมกับความสวยงาม พบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ มากกว่าป่าเขาลำเนาไพร และความโหดร้าย...

จากวันนี้ไป คงไม่ได้พูดคุยกับพี่แคนอีกแล้ว ไม่มีพี่แคนมาสั่งสอนอุดมการณ์อ ะไรอีกแล้ว แม้พี่แคนจะจากไป แต่สิ่งที่พี่แคนทิ้งไว้ มันช่างยิ่งใหญ่ และไม่มีวันตาย... ไม่แต่เฉพาะกับน้องๆ นรต.รุ่น 57 แต่มันสำหรับคนไทยทุกคนที่ได้รั บรู้เรื่องราวของพี่ ขอขอบคุณอุดมการณ์และคำสั่งสอนท ี่ให้ไว้ครับ พี่แคน ร.ต.อ.ธรนิศ ศรีสุข

"มโนมอบพระผู้เสวยสวรรค์
สองแขนถวายทรงธรรม์เทิดหล้า
ดวงใจมอบเมีย ขวัญและแม่
เกียรติศักดิ์รักของข้า.. มอบไว้ แก่ตัว"

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันแรกของชีวิตนักเรียนเตรียมทหาร

วันแรกของชีวิตนักเรียนเตรียมทหาร

บอกได้เต็มปากเลยครับว่า ไม่เคยมีความคิดจะมาเป็นทหาร ไม่เคยรู้จักโรงเรียนเตรียมทหาร ที่ได้มาสมัครสอบก็เพราะ "พ่อ" แท้ๆ พ่อเล่าให้ฟังว่า สมัยพ่อยังหนุ่มๆ พ่อเคยมาสมัครถึงสองครั้งสองครา ผ่านข้อเขียน ตกสัมภาษณ์ หรือไม่ก็ตกพละ ... พ่อจึงให้ลูกชายทั้งสองคนมาสอบ... ผมเรียนชั้นปีเดียวกันกับน้องชายคนรอง พ่อเคยอธิบายว่าให้ผมเรียนเป็นเพื่อนน้อง...

หลังจากจบชั้นมัธยมปลายจากสวนกุหลาบฯในปี 2527 ผมก็สมัครสอบทั้งมหาวิทยาลัยและโรงเรียนเตรียมทหาร ผลคือ ผมสอบติดคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ส่วนโรงเรียนเตรียมทหารนั้น "ไม่เห็นฝุ่น" และจากการได้ไปเรียนรู้ชีวิตในมหาวิทยาลัยเสีย 1 ปีนั้น ถือได้ว่าเพื่อนๆหลายคนที่เรียนจนจบ 4 ปี ยังต้องอิจฉา.. ที่ชีวิตในมหาวิทยาลัยของผมนั้นมีสีสัน ประสบการณ์โชกโชน และประสบการณ์ที่ได้จากรั้วมหาวิทยาลัยนั้น ได้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ชีวิตหักเห มาจนถึงปัจจุบันนี้...

หลังจากหลงระเริงกับชีวิตในมหาวิทยาลัย จนเสียการเรียน และมีความคิดไม่อยากเรียน กลับบ้านพิษณุโลกไปขับรถบรรทุกปิคอัพส่งสินค้าอยู่พักหนึ่ง ก็สงสารพ่อแม่ที่ผิดหวังในตัวผม จึงเกิดแรงฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง... ผมและน้องชายได้เดินทางเข้ากรุงเทพ เพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยและโรงเรียนเตรียมทหารอีกครั้ง... คราวนี้เราสาม พี่น้องได้ร่วมกันอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน (ผมมีน้องสาวคนเล็กอีกหนึ่งคน) เราเคยไปสมัครเีรียนที่โรงเรียนกวดวิชาชื่อดังแห่งหนึ่ง ย่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จำได้ว่าจ่ายค่าเรียนไปคนละ 500 บาท ซึ่งนับว่ามากในขณะนั้น..

วันแรกที่เราเข้าเรียนในโรงเรียนกวดวิชาพบว่า เราไปเรียนช้ากว่าคนอื่น ที่มานั่งเรียนกันจนล้นห้อง.. ผมมองไม่เห็นผู้สอน เห็นแต่ทีวีวงจรปิด.. นักเรียนที่นั่งข้างๆ ทุกคนดูเหมือนเป็นผู้คงแก่เรียน จดอะไรก็ไม่รู้ ผมพยายามเงี่ยหูฟังแล้ว ก็ยังไม่รู้เรื่อง.. จนกระทั่งอดรนทนไม่ได้กับสภาพห้องเรียนที่แออัดยัดเยียดแบบนั้น จึงบอกกับน้องว่า "เรากลับไปอ่านหนังสือที่บ้านกันเถอะ.." รวมเวลาที่เราเสียไปกับเรื่อง "ไร้สาระ" ประมาณครึ่งชั่วโมง...

หลังจากวันนั้น สามพี่น้องต่างตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือกันที่บ้าน ในระหว่างที่อ่านหนังสือ เพื่อนๆก็มาเล่นฟุตบอลอยู่หน้าบ้าน.. นึกอิจฉาเพื่อน อยากเล่นกับเพื่อน แต่ต้องข่มใจอ่านหนังสือเพื่ออนาคต... เราใช้เวลาอ่านหนังสือ ทบทวน ทำข้อสอบเก่าประมาณสองสัปดาห์ก็สอบเอ็นทรานซ์ และโรงเรียนเตรียมทหาร

เนื่องจากโรงเรียนเตรียมทหารนั้น แบ่งการสอบออกเป็นสองภาค คือพละศึกษาและสัมภาษณ์ กับข้อเขียน ผมกับน้องจึงได้ฝึกภาคพละ (วิ่ง ว่ายน้ำ กระโดดไกล ลุกนั่ง ดันพื้น ดึงข้อ) ร่วมกันทุกวัน ชาวบ้านในซอยโชคชัยร่วมมิตรมักจะเห็นเราสองพี่น้องออกวิ่งไปด้วยกันทุกวันจน ชินตา...

วันสอบภาคพละ ขณะที่ผมรอคิวเพื่อสอบวิ่ง 1,000 เมตร ได้มีชายคนหนึ่งที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน มาบอกผมว่า "น้อง.. ถ้ามีใครมาถามน้องว่าเป็นนักกีฬาโรงเรียนหรือเปล่า ให้ตอบว่าใช่นะ.." ผมยืนงงกับพฤติกรรมของชายคนนั้น แต่ก็ตอบตกลงไป สักพักเดียว ก็มีชายอีกคนหนึ่ง มาถามผมตามที่ชายคนแรกได้นัดแนะกันไว้.. เอ๊ะ..ชักมีอะไรไม่เข้าท่าแล้วเนี่ย... ผมไม่ได้คิดอะไรมาก คิดเพียงว่าทำอย่างไรถึงจะวิ่งให้ได้ที่หนึ่งเท่านั้น พอสัญญาณนกหวีีดดังขึ้น ทุกคนในรอบนั้น (ประมาณ10-20 คน) ต่างออกสตาร์ทอย่างเร็ว ซึ่งผิดกับที่ผมได้ฝึกซ้อมไว้ ผมตกใจที่ถูกทิ้งห่าง จึงเร่งจี้ตามกลุ่มให้ทัน ยังไม่ถึงครึ่งทางผมก็รู้สึกเหนื่อย หายใจหอบแล้วคิดว่าคงจะไม่ไหว สู้เขาไม่ได้ ทำไมเพื่อนๆถึงได้วิ่งกันเร็วขนาดนี้นะ เราคงฝึกซ้อมมาไม่ดีพอ.. พอเกินครึ่งทาง ผมเริ่มแซงเพื่อนทีละคนสองคน จนร้อยเมตรสุดท้ายผมก็ขึ้นนำ และเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกของรอบนั้น...พ่อและน้องชายซึ่งมาคอยลุ้น ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "นึกว่าไม่ไหวซะแล้ว.."

ผมสอบติดทั้งมหาวิทยาลัยและโรงเรียนเตรียมทหาร (ทหารบก) น้องชายติดทหารอากาศ ส่วนน้องสาวคนเล็กได้พยาบาล... หลังจากรู้ผลสอบ ผมโทรศัพท์ไปบอกแม่ ว่าเราสามพี่น้องทำสำเร็จแล้ว แม่ดีใจจนซื้อตั๋วรถไฟไปบอกพ่อที่ทำงานเป็นพนักงานรถไฟ ผมรู้ภายหลังว่า พ่อไม่กล้าไปฟังผลสอบของลูก รอลุ้นอยู่บนรถไฟดีกว่า... แต่ทว่า... ผมไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด ให้แม่รู้.. ผมสอบติดแค่ตัวสำรองอันดับที่ 6 ! ผมคิดว่าโอกาสริบหรี่เหลือเกิน... ใครหนอจะสละสิทธิ์เป็นนักเรียนนายร้อย จปร. ที่ดูเท่ห์ เป็นที่ปรารถนาของเด็กหนุ่มทั้งหลาย...

วันที่ไปมอบตัวเพื่อเป็นนักเรียนเตรียมทหารนั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าเอาเสียเลย เหมือนกับไปรอรับส่วนบุญจากคนอื่นที่สละสิทธิ์ ซึ่งก็ไม่น่ามีใครสละสิทธิ์เสียด้วยสิ... ผมนั่งดูเพื่อนนักเรียนคนแล้วคนเล่าที่ถูกขานชื่อให้ไปรายงานตัว ทุกคนมีรอยยิ้มที่มีความสุขรวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครอง... ผมแอบสังเกตดูหน้าพ่อที่มีแต่รอยกังวล พ่อลุ้นยิ่งกว่าลูกเสียอีก...

เพื่อนๆ ต่างวัดตัวเพื่อตัดชุด ตัดรองเท้า กันเกือบหมดแล้ว โรงอาหารที่ดัดแปลงเป็นสถานที่รายงานตัวดูโหรงเหรง เจ้าหน้าที่บางคนต่างทยอยกันกลับบ้าน สีหน้าผมตอนนั้นดูเหมือนคนสิ้นหวัง.. พ่อเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่ามีใครสละสิทธิ์บ้าง.. ผมเห็นพ่อรีบเดินกลับมา พร้อมกับรอยยิ้ม... "กลด..มีคนสละสิทธิ์ 6 คนพอดีเลยลูก !" ผมร้องละเมอกลับไปอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง "อะไรนะพ่อ อะไรมันจะพอดีขนาดนั้น !"

ผมรีบวิ่งไปยังโต๊ะรายงานตัว ก่อนเซ็นชื่อยินยอมเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตามองพ่อ แล้วพูดกับพ่อในใจว่า "ผมจะเป็นนักเรียนเตรียมทหารแล้วนะ.." จากนั้นผมก็จรดปากกาเซ็นชื่ออย่างบรรจงที่สุดในชีวิต...

ผมต้องร้องเรียกช่างตัดเสื้อ ที่เตรียมตัวกลับบ้านให้มาวัดตัวผมก่อน และหลังจากวัดตัวแล้ว ผมก็พยายามมองหาช่างตัดรองเท้า หาเท่าไรก็ไม่เจอ สอบถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่า "กลับบ้านไปแล้ว" เอาล่ะสิ ! แล้วผมจะมีรองเท้าใส่ไหมเนี่ย... เฮ้อ.. กว่าจะเป็นนักเรียนเตรียมทหารเนี่ย... ไม่ง่ายเลย อุปสรรคขวากหนามเพียบ ผมคิดอยู่ในใจ... แต่ช่างมันเถอะ รองเท้าเรื่องเล็ก เดี๋ยวเรา็หาซื้อเอาเองก็ได้..

วันแรกที่ต้องไปเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร ผมกับน้องชายตื่นแต่เช้าตรู่ เราลงทุนนั่งรถแท็กซี่มาโรงเรียน เพราะต่างมีข้าวของพะรุงพะรัง ระหว่างทางที่นั่งไปบนรถผมคิดไปต่างๆ นาๆ "ก็เหมือนกับย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่นั่นแหละ !" ผมปลอบใจตัวเอง... พลันที่รถหยุดกึก.. ผมได้ยินเสียงเพลงปลุกใจแว่วออกมาจากโรงเรียนเตรียมทหาร.. โห..อะไรจะขนาดนั้น.. ผมชโงกหน้าออกมานอกรถด้วยความตื่นเต้น.. เพื่อนๆกำลังเดินเข้าแถว เพื่อตรวจสอบรายชื่อ เพื่อแยกไปตามกองพันต่างๆ ที่มีถึง 4 กองพันนักเรียน

กว่าจะได้กินข้าวมื้อแรก (มื้อเที่ยง) เราต้องแลกด้วยเหงื่อ เสียงสั่ง "ซ้ายหันขวาหัน หน้าเดิน วิ่ง..หน้าวิ่ง" อยู่รอบๆตัวผม อยู่ตลอดเวลา เพื่อนๆทุกคนต่างปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ไม่มีใครกล้าขัดขืน... เพื่อนบางกองพันลงไปนอนกลิ้งกับพื้น ตามคำสั่งของนายทหาร บางครั้งก็วิ่งไปมา ตามคำสั่งเรียกแถว "แถวตอนเรียงหนึ่ง มาหาข้าพเจ้า..." ทุกอย่างดูสับสนอลหม่านไปหมด... ผู้อ่านลองนึกภาพนักเรียนเตรียมทหารทั้งรุ่นประมาณหนึ่งพันนาย วิ่งไปมาในโรงเรียน ที่มีขนาดพื้นที่ประมาณสนามฟุตบอล 2 สนามรวมกัน ว่ามันจะวุ่นวายขนาดไหนกัน...

ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ขนาดการกินอาหารยังต้องสอน มีพิธีรีตองมากมาย กว่าจะได้กินอาหารมื้อแรก.. เป็นต้นว่า ต้องยกเก้าอี้นั่งพร้อมๆกัน และต้องไม่มีเสียงดัง จากนั้นนั่งต้องหลังตรง เอาแขนทั้งสองข้างขัดหลังไว้ เวลาจะกินก็ต้องตักอาหารเป็นมุมฉากตลอด โ๊อ๊ย..แล้วเมื่อไรจะกินอิ่มล่ะเนี่ย... รินน้ำก็ต้องรินให้พอดี ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป ...เฮ้อ..กระหายแทบแย่..แก้วน้ำวางอยู่ตรงหน้า ก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะยกแก้วขึ้นมาดื่ม...

การเดินต้องเตะขาให้ขนานกับพื้น พร้อมกับตบเท้าลงพื้นดัง "ปั๊บ" เวลาเลี้ยวก็เลี้ยวเป็นมุมฉาก.. "จะไหวมั้ยเนี่ยเรา.." ผมคิดท้ออยู่ในใจ... ผู้หมวดจบใหม่ บางคนก็ร้อยโท (ทหารบก) บางคนเรือตรี (ทหารเรือ) บางคนก็เรืออากาศเอก (ทหารอากาศ) หรือไม่ก็ร้อยตำรวจโท เป็นนายทหารปกครองของเรานักเรียนเตรียมทหาร สุ้มเสียงของนายทหารเหล่านี้ กังวาล ดุดัน มีพลัง และน่ากลัว สำหรับผมและเพื่อนๆ

ผมโชคดีที่อยู่กองพันที่ 4 นายทหารปกครองค่อนข้างจะใจดี เมื่อเทียบกับกองพันอื่น คือแบบว่าท่านจะซ่อมนักเรียนน้อยกว่า แล้วพูดจาก็ไม่กระโชกโฮกฮาก "เออ.. อย่างน้อย ผมก็ยังโชคดีกว่าเพื่อนที่มีผู้หมวดใจดี" ผมคิดเข้าข้างตัวเอง...

หลังจากมื้อเที่ยงเราก็พบกับการซ่อมอีกหนึ่งยก พร้อมๆกับการพาไปแนะนำสถานที่ต่างๆ ภายในบริเวณโรงเรียน โดยเฉพาะสถานที่หวงห้าม เช่นบริเวณบ้านพักข้าราชการ น่าตลกที่เพื่อนผมคนหนึ่ง มีบ้านอยู่บริเวณนั้น แต่ไม่สามารถเดินเฉียดบ้านตัวเองได้... เออ..อย่างนี้สิ ถึงจะเรียกว่าเสมอภาค เท่าเทียมกันจริงๆ...

เพื่อนบางคนสภาพร่างกายไม่พร้อม เป็นลมไปบ้างก็มี.. ตกเย็นผมคิดว่านี่เป็นมื้อเย็นที่ยาวนานที่สุดที่ผมเคยประสบมาในชีวิต... นักเรียนพันคน ยกเก้าอี้นั่งแล้ววางไม่ให้มีเสียงดัง แม้แต่กิ๊กเดียวเนี่ย.. มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ ? ผมทำได้แค่คิดในใจแล้วต้องเบาๆด้วย กลัวผู้หมวดจะได้ยิน ! กว่าเราจะได้นั่ง ขอย้ำว่า แค่ได้นั่งเท่านั้น ! เราก็เสียเหงื่อไปมากมาย ถ้าคิดเป็นระยะทางวิ่งก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 2 กิโลเมตร กว่าจะได้กินอาหารมื้อเย็น ก็นั่งขัดหลังแล้วก็ตบฉาก (นำแขนขวามาตบแขนซ้าย โดยให้มีระดับตรงกับสายตา) จนแขนล้าไปหมด นี่เรายังไม่ได้กินนะเนี่ย...เฮ้อ...

หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็ถึงเวลาเก็บเก้าอี้ ซึ่งก็แน่นอนผู้หมวดท่านมีลูกเล่นแพรวพราวอีกตามเคย เรายกเก้าอี้แบบยกแล้วยกอีก จนปวดเมื่อยไปทั้งตัว... ใช่ว่าจะมีแค่นั้น อย่าเพิ่งหวังว่าจะได้ผึ่งพุงแบบสบายๆ เมื่อกินแล้วก็มีพลังงานมากขึ้น ผู้หมวดท่านก็สรรหาวิธีรีดพลังงานออกมาจนแทบจะหมด... คืนแรกเราแทบจะคลานขึ้นเตียงนอนกันเลยล่ะครับ โชคดีที่เป็นมุ้งลวดไม่ต้องกางมุ้ง แล้วก็มีพัดลมตัวใหญ่ๆ เป็นระยะในโรงนอนทหาร... คืนนั้น.. ผมคิดถึงบ้าน คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในวันนั้น มันช่างน่าตื่นเต้น อกสั่นขวัญแขวน พรุ่งนี้จะเจอกับอะไรอีก ผู้หมวดท่านบอกว่าต้องตื่นตีห้าสิบห้า สวมชุดพละลงมาเข้าแถว ใครลงมาคนสุดท้ายต้องถูกลงโทษ ! ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย...

วันแรกที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตนักเรียนธรรมดาๆ ถึงหนึ่งพันชีวิต มาเป็นนักเรียนเตรียมทหารที่จะต้องอยู่ในระเบียบวินัยทหารอย่างเคร่งครัด ต้องรู้จักมารยาทในสังคม เช่นการกินอาหาร การหลอมละลายพฤติกรรมหนึ่งพันชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียว เป็นจุดมุ่งหมายของโรงเรียนเตรียมทหาร เพื่อให้หนึ่งพันชีวิตนั้นรู้จักคำว่า รักชาติ สามัคคี เสียสละ อดทน อดกลั้น สมกับเป็นโรงเรียนของลูกผู้ชายอย่างแท้จริง.. วันแรกผมจำประโยคหนึ่งที่ผู้หมวดท่านได้สอนไว้อย่างขึ้นใจว่า "ข้าพระพุทธเจ้า..จักรักษามรดกของพระองค์ท่านไว้ ด้วยชีวิต"

หมายเหตุ : "พระองค์ท่าน" หมายถึง สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงให้กำเนิดโรงเรียนเตรียมทหาร

ที่มา www.twitlonger.com/show/18f5hr

ทำไมสิ่งนี้ต้องเกิดกับผมด้วย

---> เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตอนผมไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารครับ คือ ในการสอบจะมีสองรองรอบแรกเป็นรอบวิชาการ ส่วนรอบสองเป็นรอบพละศึกษา และตรวจร่างกาย ซึ่งผมมุ่งมั่นมากที่จะเป็นทหารครับ ก่อนสอบผมทุ่มเทมาก จนในที่สุดผมก็ทำได้ ผม สอบติดรอบแรกของเตรียมทหารทั้ง(ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ)เหล่า พอรอบสอบสอง เขาจะให้เลือก1เหล่าว่าจะไปเหล่าไหน ผมก็เลือกไปสอบทหารบก ผมมั่นในในการสอบรอบสองมากเพราะผมเตรียมร่างกายมาดี และเป็นคนร่างกายแข็งแรง พอถึงวันสอบรอบสอง เป็นวันตรวจร่างกาย ผมก็ไปตรวจตามลำดับ จนกระทั่งประมานบ่ายมีคนประกาศเรียกชื่อผมให้มาพบที่กองอำนวยการพร้อมกับผู้ ปกครอง ตอนแรกผมคิดในใจว่าเรื่องเอกสารมีปัญหาหรือเปล่า แต่แล้วคุณหมอ ก็มาบอก พ่อ และ แม่ ผมว่า ลูกชายคุณมีปัญหาเรื่องผลการตรวจร่างกาย ลูกชายคุณเป็น โรคไวรัสตับอักเสบบี ทำให้ไม่สามารถรับเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารได้
ฝันผมสลายไปในพริบตากับโรคเพียงโรคเดียว

ทำไมสิ่งนี้ต้องเกิดกับผมด้วย

----------------------------


ขั้นแรก ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นนะครับ

ขั้นสอง รักษากายให้เป็นปกติ

ขั้นสาม ชีวิตต้องดำเนินต่อไป

ฟ้าลิขิตนะครับ

หนูอาจจะเบนเข็มมาเรียนอ้อมสักนิด เช่นนิติศาสตร์

หรืออาจจะดูสิ่งที่ชอบถัดมานะครับ


บางที ถ้าหนูไปเป็นทหาร ถูกส่งไปอยู่ชายแดนอาจเกิดสิ่งที่มากกว่าที่เป็นอยู่

หนูอาจทำบุญมามากจนฟ้าเบี่ยงเส้นทางอาชีพให้นะครับ

ไม่เป็นไรนะครับ

ไม่ได้เป็นทหารก็ปกป้องประเทศชาติได้ครับ


คุณครูก็ไม่ทราบระเบียบการว่าหนูจะสอบใหม่ได้อีกรึเปล่า

ถ้าได้ ก็ลองสอบดูนะครับ

บางทีคุณครูมีงานสำคัญที่ต้องทำ ออกจากบ้านแต่เช้า

แต่กลับพบอุปสรรค ทำให้ออกล่าช้า

หลายคนหงุดหงิด แต่คุณครูคิดว่า ฟ้าต้องลิขิตให้เราล่าช้า เพราะถ้าออกตามเวลาอาจจะประสบอุบัติเหตุก็ได้


คนเราอยู่กับปัจจุบันให้เป็นสุข และพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ประมาทนะครับ

โชคดีนะครับที่หนูได้ทราบว่าเราเป็นไวรัสตับอักเสบตอนนี้ จะได้รีบรักษา


ดูแลสุขภาพกายก่อนนะครับ

ชีวิตลิขิตไว้แล้ว

จงลิขิตด้วยความดี และตื่นรู้อยู่กับเรื่องจริงอย่างไม่ทุกข์นะครับ



คุณครูขอให้หนูหายเร็วๆนะครับ...